ยาลดกลิ่นช่องคลอด ใช้ได้ผลจริงมั้ย? เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่คุณผู้หญิงหลายคนต้องการทราบ เนื่องจากการ “มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์” เป็นเรื่องที่สาว ๆ ทุกคนมีความกังวลเพราะนอกจากจะเป็นสัญญาณของความผิดปกติของช่องคลอดแล้วก็ทำให้เสียบุคลิกอีกด้วย ดังนั้น การซื้อยามาใช้เพื่อกำจัดปัญหานี้จึงเป็นทางเลือกที่ผู้หญิงหลายคนให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม ยาที่ช่วยลดกลิ่นสำหรับช่องคลอดนั้นมีหลายชนิด ซึ่งใช้แล้วอันตรายไหม ใช้ได้ผลหรือเปล่า Rejavoo มีคำตอบมาฝาก
“ยาลดกลิ่นช่องคลอด คืออะไร?” มาทำความรู้จักก่อนเลือกมาใช้
ช่องคลอดมีกลิ่น กินยาอะไรดี? อาจเป็นคำถามที่ผู้หญิงหลายคนสงสัยและมีความกังวล เพราะช่องคลอดมีกลิ่นเกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวกับผู้หญิงทุกคน ช่องคลอดมีกลิ่น อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือปรสิต หรือเป็นอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วิธีรักษาคุณหมอจะให้ผู้ป่วยรับประทานยาฆ่าเชื้อ เพื่อรักษาการติดเชื้อและกลิ่นเหม็นนั่นเอง อย่างไรก็ตาม อาจมีสาว ๆ หลายคนไม่เคยรู้จักและทราบมาก่อนว่าเจ้ายาตัวนี้คืออะไร อันตรายไหม ใช้ได้ผลจริงหรือเปล่า ในบทความนี้มีคำตอบ
ช่องคลอดมีกลิ่นเกิดจากอะไร?
กลิ่นไม่พึงประสงค์จากช่องคลอดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น สุขอนามัย การอักเสบ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ในบางกรณีอาจดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อเข้าตรวจสอบหาสาเหตุและรับคำแนะนำในการรักษาอย่างเหมาะสม
ซึ่งโดยทั่วไปภายในช่องคลอดจะมีทั้งแบคทีเรียชนิดที่ดีและชนิดไม่ดี ซึ่งแบคทีเรียที่ดี ยกตัวอย่างเช่น แลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) ที่ช่วยให้ภายในช่องคลอดมีภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ และช่วยให้แบคทีเรียชนิดที่ไม่ดีไม่สามารถเจริญเติบโตมากจนเกินไปได้ แต่ในทางกลับกัน หากแลคโตบาซิลลัสมีจำนวนลดลง ทำให้แบคทีเรียชนิดไม่ดีเจริญเติบโตขึ้น อาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียจากภายนอกและทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ (Bacterial Vaginosis) ช่องคลอดมีกลิ่นคาวปลา มีกลิ่นเหม็นได้ ซึ่งควรได้การรักษาโดยเร็วไวเพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิต
และอย่างที่ทราบกันดีว่า ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ (Bacterial Vaginosis) และความเสี่ยงนั้นอาจเพิ่มมากขึ้นจากปัจจัยบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ การมีเพศสัมพันธ์ การสวนล้างช่องคลอด การใส่ห่วงคุมกำเนิดโดยเฉพาะในสตรีที่มีประจำเดือนกะปริดกะปรอยร่วมด้วย เป็นต้น จึงควรหมั่นเช็กอยู่เสมอเพื่อหาวิธีการรักษาที่ถูกต้อง
ช่องคลอดมีกลิ่น กินยาอะไรดี
การรักษาช่องคลอดมีกลิ่น ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ จะใช้ในกรณีที่คุณหมอวินิจฉัยว่าช่องคลอดมีกลิ่นเกิดจากปัญหาสุขภาพหรือโรคต่าง ๆ โดยคุณหมอจะจ่ายยาฆ่าเชื้อให้คนไข้ ดังนี้
- พยาธิในช่องคลอด โดยปกติ คุณหมอจะให้คนไข้รับประทานยาเมโทรนิดาโซล รูปแบบเม็ดขนาด 500-750 กรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 5-10 วัน
- ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ยาเมโทรนิดาโซลขนาด 500 มิลลิกรัม และรับประทานตามดุลยพินิจของคุณหมอ ในปริมาณและจำนวนวันที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ ช่องคลอดมีกลิ่นเนื่องจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การใช้ผ้าอนามัยเป็นเวลานาน หรือการไม่รักษาความสะอาด สามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เปลี่ยนผ้าอนามัยให้บ่อยขึ้น ทำความสะอาดช่องคลอดสม่ำเสมอ
ป้องกันช่องคลอดมีกลิ่น ด้วยการปรับพฤติกรรม
วิธีดูแลช่องคลอดเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ซึ่งคุณผู้หญิงทุก ๆ คนสามารถทำตามได้ ดังนี้
- ใช้น้ำเปล่าล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ
- ล้างเฉพาะภายนอกเท่านั้น ไม่ควรสวนล้างเข้าไปข้างใน และควรล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง
- หลังจากล้างน้ำแล้ว ควรซับให้แห้ง ซับจากด้านหน้าไปด้านหลัง ไม่ควรวกกลับมาด้านหน้าอีก
- ไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดการอับชื้น เช่น ใส่กางเกงในที่ตัวเล็กมากหรือผ้าหนา และไม่ควรใส่หลายชั้น เช่น ใส่กางเกงในแล้วทับด้วยกางเกงกระชับสัดส่วน ถุงน่อง กางเกงกันโป๊ เพราะความอบอ้าวจะทำให้เกิดตกขาว ควรใส่ชั้นในที่สบายตัวและอากาศถ่ายเทสะดวก
- อย่าปล่อยให้เป้ากางเกงในเปียก พยายามซับให้แห้งทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ
- เมื่อมีประจำเดือนให้เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และล้างทำความสะอาดทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ
- การดูแลขน หากไม่จำเป็นอย่าโกนหรือแว็กซ์ขนออก เนื้องจากจะทำให้ผิวบางและแพ้น้ำยาแว็กซ์ได้ สามารถดูแลได้ง่ายขึ้นด้วยการเล็มขนเพื่อลดการอับชื้น
- ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันผู้อื่น และซักทำความสะอาดผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ
- ทำความสะอาดฝารองนั่งชักโครกทุกครั้งก่อนใช้ห้องน้ำ
- ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- นอกจากจะการดูแลเบื้องต้นแล้ว การตรวจภายในและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้าย หรือหากพบโรคก็จะพบได้เร็วในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูงกว่า
รีแพร์ช่องคลอด จาก Rejavoo Clinic
บริการรีแพร์จาก Rejavoo Clinic เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มสูงในการกระชับผิวที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างแพร่หลาย ซึ่ง Rejavoo Clinic ก็ได้นำจุดโดดเด่นของการรีแพร์ด้วยเทคโนโลยีแบบพิเศษเฉพาะของทางคลินิก ซึ่งจุดเด่นของเทคโนโลยีรีแพร์ของเราที่เหนือเทคโนโลยีอื่นก็คือ การใช้อัลตราซาวด์ที่มีความเข้มสูง สามารถลงลึกได้ถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นที่ค่อนข้างลึกและอยู่ติดกับชั้นกล้ามเนื้อโดยปกติแล้วแพทย์จะผ่าตัดที่ผิวหนังชั้นนี้เพื่อแก้ไขให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีจาก รีแพร์ของ Rejavoo Clinic ก็สามารถทำให้ผิวและเนื้อเยื่อกระชับได้มีประสิทธิภาพกว่าเทคโนโลยีอื่น ซึ่งจะคอยกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอดสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นใหม่ และมีการเรียงตัวที่ดีขึ้น ทำให้ผิวและเนื้อเยื่อที่บริเวณนี้ได้รับการฟื้นฟู และกระชับมากกว่าเดิมนั่นเอง
Rejavoo Clinic คลินิกเพื่อความสวยความงาม ครบทุกวงจร
ผู้นำนวัตกรรมด้านความสวยความที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นด้านผิวพรรณ ด้านการกระชับตามจุดต่าง ๆ และหัตถการฉีดใบหน้า ซึ่งเรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย ปลอดภัย และได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการรีแพร์ได้รับความประทับใจและปลอดภัยจากบริการที่มีประสิทธิภาพจากทาง Rejavoo Clinic ให้ได้มากที่สุด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ทำรีแพร์อยู่ได้นานไหม ดูแลตัวเองยังไงให้ผลลัพธ์อยู่นานขึ้น?
รีแพร์ช่องคลอด ก่อน-หลังรีแพร์แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
5 อาการหลังทํารีแพร์ที่ควรระวัง หากดูแลไม่ดีส่งผลอันตรายได้
ปรึกษาเพิ่มเติม สอบถามคิว นัดจองคิว
บทความที่น่าสนใจ
ฉีดโบท็อก กินปลาร้าได้ไหม หากเผลอกินเข้าไปจะเกิดอันตรายหรือเปล่า
ฉีดโบท็อก หน้าไม่เท่ากัน ปรับสัดส่วน แก้ให้จึ้ง ทำให้ถึง ที่ Rejavoo
หลังฉีดโบท็อก ห้ามกินอะไรบ้าง ของกิน 4 อย่างที่ควรงด!!
หลังฉีดโบท็อก แต่งหน้าได้ไหม ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะแต่งได้ปกติ
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ช้ำม่วง เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่ แก้ยังไงดี
ฟิลเลอร์ละลาย เพราะอากาศร้อน เกิดขึ้นได้มั้ย มาไขข้อสงสัยกัน!
ทำรีแพร์อยู่ได้นานไหม? อยากให้ความฟิตอยู่นานๆ ดูแลยังไงดี
ช่องคลอดหลวม หลังคลอด คุณแม่หนักใจ ทำยังไงให้ฟิตเหมือนเดิม?
ฉีด โบ ท็ อก แล้วปากเบี้ยว แก้ ยัง ไง เป็นผลข้างเคียงอันตรายที่ต้องหาหมอหรือเปล่า?